วันเสาร์ที่ 7 กันยายน 2567 สำนักงาน ปปส.ภาค 6 โดยนายเอกชัย รัตนจันทร์ศิริ ผู้อำนวยการส่วนประสานพื้นที่ เข้าร่วมพิธีเปิด “งานมหกรรมแก้หนี้ สร้างวิถีแห่งความเป็นธรรม" ในพื้นที่ภาคเหนือ ณ ห้องประชุมมหาวิทยาลัยนเรศวร กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันเสาร์ที่ 7 ถึงวันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน 2567 ทั้งนี้โดยมีนางสาวเอมอร เสียงใหญ่ อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เป็นประธานเปิด และนายบุญเหลือ บารมี รองผู้ว่าราชการจังหวัด พิษณุโลกกล่าวต้อนรับ พร้อมด้วยนายเสกสรร สุขแสง อธิบดีกรมบังคับคดี ทันตแพทย์หญิงจุฑารัตน์ จินตกานนท์ รองผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม

ทั้งนี้สำหรับการจัดงาน "มหกรรมแก้หนี้ สร้างวิถีแห่งความเป็นธรรม" ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อเก็บตกลูกหนี้ลูกหนี้ในพื้นที่ภาคเหนือ ที่มีปัญหาด้านหนี้สินที่พลาดโอกาสเข้าร่วมงานในครั้งที่แล้ว เช่นกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หนี้เช่าซื้อรถยนต์ หนี้สินข้าราชการหนี้บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคลที่ผิดนัดชำระหนี้เข้าเกณฑ์จะถูกฟ้องดำเนินคดี หรือไม่มีกำลังผ่อนชำระตามสัญญา เข้าร่วมงานโดยจังหวัดพิษณุโลกได้มีการจัดงานครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม

2567 ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย และรู้สิทธิตามกฎหมาย เข้าถึงความยุติธรรม รวมถึงสร้างการตระหนักรู้เกี่ยวกับการวางแผน และสร้างวินัยทางการเงินให้ประชาชนเป็นเกราะป้องกันปัญหาหนีสินภาคครัวเรือน โดยลูกหนี้จะได้รับโปรโมชั่นนอกจากจะไม่ถูกฟ้องคดี ไม่ถูกยึดทรัพย์ ไม่ถูกขายทอดตลาด แล้ว ยังจะได้รับสิทธิพิเศษ ส่วนลดจบหนี้ ส่วนลดดอกเบี้ย ลดค่างวดและขยายระยะเวลาการผ่อนชำระ และสิทธิประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายภายในงานมีการให้บริการต่างๆ มายมาย เช่น การเผยแพร่ความรู้ทางกฎหมาย และการสร้างการตระหนักรู้ เกี่ยวกับ การวางแผน และสร้างวินัยทางการเงิน การจัดนิทรรศการประชาสัมพันธ์ ให้คำปรึกษาทางกฎหมายหรือการเงินของ 10 หน่วยงาน และการให้บริการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ทั้งก่อนฟ้องและหลังศาลมีคำพิพากษาโดยมีภาคีเครือข่ายที่เข้าร่วมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท จำนวน 5สถาบัน ประกอบด้วย 1. กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) 2.ธนาคารออมสิน 3. ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) 4. บริษัทบริหารสินทรัพย์เจและบริษัทในเครือ 5. บรรษัทประกันสินเชื่อ อุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) โดยภายในงานเชิญลูกหนี้เข้าร่วมงานกว่า5,000 ราย โดยมีทุนทรัพย์กว่า 355 ล้านบาท